วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 4
วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561

เนื้อหาที่เรียน
        กิจกรรมการเรียนการสอนวันนี้ เริ่มต้นด้วยเพื่อนนำเสนอคำคมหน้าชั้นเรียน และ เพื่อนแต่ละกลุ่มนำเสนอสถานศึกษาในรูปแบบต่างๆ

นำเสนอคำคมหน้าชั้นเรียน

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ผู้คนกำลังนั่ง และ ข้อความ





แต่ละกลุ่มนำเสนอสถานศึกษาในรูปแบบต่างๆ

กลุ่มที่ 1 โรงเรียนอนุบาล
โรงเรียนสาธิตละอออุทิส 

 

กลุ่มที่ 2 สถานบริบาล
โรงเรียนแสนสุข

         

กลุ่มที่ 3 โรงเรียนสำหรับเด็กก่อนวัยเข้าเรียน
brainschoo

 

 กลุ่มที่ 4 สถานรับเลี้ยงเด็ก
บ้านคุณปู่ เนอสเซอรี่

 กลุ่มที่ 5 ศูนย์เด็กเล็ก
ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด 


กลุ่มที่ 6 ศูนย์อบรมเด็กก่อนวัยเรียน
ศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์วัดโปรดเกศเชษฐาราม



การประเมินผล
ประเมินตนเอง       : มาเรียนตรงเวลา แต่งกายมาเรียนถูกระเบียบ และมีส่วนร่วมในการนำเสนอ
ประเมินเพื่อน        : เพื่อนๆตั้งใจนำเสนอและหาข้อมูลมาได้ดี แต่งการถูกระเบียบ มาเรียนตรงเวลา ให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม
ประเมินอาจารย์     :อาจารย์คอยเสริมเนื้อหาและเพิ่มเติมความรู้ มาสอนตรงเวลา แต่งกายเหมาะสม เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น










วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 3
วันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ.2561

เนื้อหาที่เรียน  ความรู้ที่ได้รับ


บทบาทของผู้บริหาร ผู้นำในยุคโลกาภิวัตน์
          เมื่อกล่าวถึงผู้นำ คนส่วนใหญ่จะคิดถึงภาพของผู้ที่มีอำนาจ มีตำแหน่งใหญ่โต มีอิทธิพล ต่อผู้อื่น ผู้นำที่ยิ่งใหญ่สามารถสั่งการได้ หรือเดินตามในทิศทางที่ผู้นำก้าวเดินหรือกำหนดให้ ผู้คนเกรงกลัว
          นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในการบริหาร ผู้นำยังคงเป็นความคาดหวังสูงสุดในการแบกรับภาระ นำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จ แต่ทว่า บทบาทผู้นำในยุคของพระนเรศวรมหาราชกับผู้นำของวันนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะในโลกของธุรกิจ หากผู้นำคนใดยังผูกขาดการตัดสินใจ ไม่ยอมสร้างการมีส่วนร่วม ก็ยากที่จะนำพาองค์กรหรือประเทศอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ผู้นำยุคนี้ต้องทำงานเชิงรุกเพื่อสร้างความได้เปรียบอยู่เสมอ

ความหมายและประเภทของผู้นำ
         ผู้นำ (Leader) หมายถึง บุคคลที่มีศิลป บุคลิกภาพ ความสามารถ เหนือบุคคลทั่วไป สามารถชักจูงให้ผู้อื่นปฏิบัติตามที่ต้องการได้ ส่วนความเป็นผู้นำ (Leadership) เป็นกระบวนการที่มีอิทธิพลต่อกลุ่ม เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ผู้บริหารทุกคนควรเป็นผู้นำ และมีภาวะผู้นำ แต่ผู้นำไม่สามารถเป็นผู้บริหารที่ดีได้ทุกคน เพราะผู้บริหารต้องมีทักษะ มีความสามารถในหน้าที่ของผู้บริหารด้วย
ประเภทของผู้นำ
1. ผู้นำตามอำนาจหน้าที่ เป็นผู้นำโดยอาศัยอำนาจหน้าที่ (Authority) และมีอำนาจบารมี (Power) เป็นเครื่องมือ มีลักษณะที่เป็นทางการ (Formal) และไม่เป็นทางการ (Informal) เกิดพลังร่วมของกลุ่มในการดำเนินงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ อำนาจนี้ได้มาจาก กฎหมาย กฎระเบียบ หรือขนบธรรมเนียม ในการปฏิบัติ จำแนกผู้นำประเภทนี้ออกเป็น 3 แบบ คือ 1 ผู้นำแบบใช้พระเดช 2  ผู้นำแบบใช้พระคุณ  3  ผู้นำแบบพ่อพระ
         1.1 ผู้นำแบบใช้พระเดช  (Legal Leadership)
         1.2  ผู้นำแบบใช้พระคุณ  (Charismatic Leadership)
         1.3  ผู้นำแบบพ่อพระ  (Symbolic Leadership) 
2.  ผู้นำตามการใช้อำนาจ 
        2.1 ผู้นำแบบเผด็จการ   (Autocratic Leadership) หรือ อัตนิยม คือใช้อำนาจต่าง ๆ ที่มีอยู่ในการสั่งการแบบเผด็จการโดยรวบอำนาจ ไม่ให้โอกาสแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น   ตั้งตัวเป็นผู้บงการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟังโดยเด็ดขาด ปฏิบัติการแบบนี้เรียกว่า One Man Show อยู่ตลอดเวลาโดยไม่คำนึงถึงจิตใจของผู้ปฏิบัติงาน เช่น   ฮิตเลอร์
       2.2  ผู้นำแบบเสรีนิยม (Laisser-Faire Leadership) หรือ Free-rein Leadership ผู้นำแบบนี้เกือบไม่มีลักษณะเป็นผู้นำเหลืออยู่เลย คือ ปล่อยให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากระทำกิจการใด ๆ ก็ตามได้โดยเสรี ซึ่งการกระทำนั้นต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย กฎระเบียบหรือข้อบังคับที่กำหนดไว้ และตนเป็นผู้ดูแลให้กิจการดำเนินไปได้โดยถูกต้องเท่านั้น มีการตรวจตราน้อยมากและไม่ค่อยให้ความช่วยเหลือในการดำเนินงานใด ๆ ทั้งสิ้น
       2.3  ผู้นำแบบประชาธิปไตย (Democratic Leadership) ผู้นำแบบนี้ เป็นผู้นำที่ประมวลเอาความคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากคณะบุคคลที่อยู่ใต้บังคับบัญชาที่มาประชุมร่วมกัน อภิปรายแสดงความคิดเห็นในปัญหาต่าง ๆ เพื่อนำเอาความคิดที่ดีที่สุดมาใช้   ฉะนั้น   นโยบายและคำสั่งจึงมีลักษณะเป็นของบุคคลโดยเสียงข้างมาก
3.  ผู้นำตามบทบาทที่แสดงออก  จำแนกเป็น  3 แบบ คือ       
        3.1  ผู้นำแบบบิดา-มารดา (Parental Leadership) ผู้นำแบบนี้ ปฏิบัติตนเหมือนพ่อ-แม่ คือทำตนเป็นพ่อแม่เห็น ผู้อื่นเป็นเด็ก อาจจะแสดงออกมาในบทบาทของพ่อแม่ที่อบอุ่น ใจดี ให้กำลังใจ   หรืออาจแสดงออกตรงกันข้ามในลักษณะการตำหนิติเตียนวิพากษ์   วิจารณ์   คาดโทษ   แสดงอำนาจ
        3.2  ผู้นำแบบนักการเมือง  (Manipulater Leadership) ผู้นำแบบนี้พยายามสะสมและใช้อำนาจ โดยอาศัยความรอบรู้และตำแหน่งหน้าที่การงานของคนอื่นมาแอบอ้างเพื่อให้ตนได้มีความสำคัญและเข้ากับสถานการณ์นั้น ๆ ได้ ผู้นำแบบนี้เข้าทำนองว่ายืมมือ ของผู้บังคับบัญชาของผู้นำแบบนี้อีกชั้นหนึ่ง  โดยเสนอขอให้สั่งการเพื่อประโยชน์แก่การสร้างอิทธิให้แก่ตนเอง
        3.3  ผู้นำแบบผู้เชี่ยวชาญ  (Expert Leadership) ผู้นำแบบนี้เกือบจะเรียกว่าไม่ได้เป็นผู้นำตามความหมายทางการบริหาร เพราะมีหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำแก่ Staff  ผู้นำแบบนี้มักเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีความรู้เฉพาะอย่าง เช่น คุณหมอพรทิพย์ มีความเชี่ยวชาญในการตรวจ DNAถ้าพิจารณาจากบุคลิกภาพอีริก เบิร์น จิตแพทย์ชาวอเมริกัน ได้วิเคราะห์โครงสร้างของบุคลิกภาพของคนว่ามีอยู่ 3 องค์ประกอบ  คือภาวะของความเป็นเด็ก (Child  egostate )  ภาวะของการเป็นผู้ใหญ่ (Adult egostate ) และภาวะของความเป็นผู้ปกครอง  (Parents  egostate)  ก็จะมองผู้นำได้เป็น 3 แบบ คือภาวะความเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ พ่อแม่ ในแบบผู้นำ

ศูนย์วิจัยของมหาวิทยาลัย Michigan ได้ศึกษาพฤติกรรมของผู้นำ แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
     1. ผู้นำที่มุ่งคน (Employee Oriented) คือผู้นำที่เน้นความมีสัมพันธภาพที่ดีกับพนักงาน กับบุคคลทั่วไป ยอมรับฟังความคิดเห็นของพนักงาน
     2. ผู้นำที่มุ่งงาน (Production Oriented) เน้นวิธีการปฏิบัติงานและผลงานที่จะได้ มองพนักงานเป็นเพียงเครื่องมือที่ทำให้เกิดผลงาน

คุณสมบัติของผู้นำ
คุณสมบัติพื้นฐานที่ทำให้ผู้นำแตกต่างจากบุคคลทั่วไป
     1. ความมุ่งมั่น (drive)
     2. แรงจูงใจในการเป็นผู้นำ (Leadership Motivation)
     3. ความซื่อสัตย์ (Integrity)
     4. ความเฉลียวฉลาด (Intelligence)
     5. ความมั่นใจในตัวเอง (Self-confidence)
     6. ความรอบรู้ในสิ่งที่ตนเองทำ (Knowledge of the Business)
สรุป คุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นผู้นำที่ดีได้ ดังนี้ คือ    
     1. มีความเฉลียวฉลาด      
     2. มีการศึกษาอบรมดี    
     3. มีความเชื่อมั่นใจตนเอง   
     4. เป็นคนมีเหตุผลดี      
     5. มีประสบการณ์ในการปกครองบังคับบัญชาเป็นอย่างดี    
     6. มีชื่อเสียงเกียรติคุณ 
     7. สามารถเข้ากับคนทุกชั้นวรรณะได้เป็นอย่างดี  
     8. มีสุขภาพอนามัยดี 
     9. มีความสามารถเหนือระดับความสามารถของบุคคลธรรมดา
   10 มีความรู้เกี่ยวกับงานทั่ว ๆ ไปขององค์กร หรือหน่วยงานที่ตนปฏิบัติอยู่โดยเฉพาะ
   11. มีความสามารถเผชิญปัญหาเฉพาะหน้า ที่จะเกิดขึ้นในขณะปฏิบัติงานให้ได้ทันท่วงที    
   12. มีความสามารถคาดการณ์ 

ภาวะผู้นำ (Leadership)
     ภาวะผู้นำ กระบวนการหรือพฤติกรรมการใช้อิทธิพลเพื่อควบคุม สั่งการ เกลี้ยกล่อม จูงใจ ให้ผู้ตามหรือกลุ่ม ปฏิบัติตามเพื่อการบรรลุเป้าหมาย หรือความเป็นผู้นำนั้นเอง คุณสมบัติของผู้นำมีหลายอย่าง หลายด้าน ผู้นำจะต้องมีความสามารถในการปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้องและได้ผลดี โดยมีองค์ประกอบดังนี้
     1. ตัวผู้นำ                               
     2. ผู้ตาม                    
     3. จุดหมาย                           
     4. หลักการและวิธีการ
     5. สิ่งที่จะทำ                          
     6. สถานการณ์

ภาวะผู้นำ (Leadership)
     1. ผู้นำโดยกำเนิด ผู้นำประเภทนี้ เกิดมาก็มีคุณลักษณะบ่งบอกถึงความเป็นผู้นำ อาจสืบทอดโดยตำแหน่ง หรือโดยบุญบารมีที่ได้สั่งสมกันมาเป็นเวลานาน จึงทำให้บุคคลนั้น เป็นที่ยอมรับนับถือของบุคคลอื่น ท่านเหล่านี้จึงเป็นผู้นำโดยกำเนิด เช่น พระพุทธเจ้า พระเจ้าอยู่หัว
     2. ผู้นำที่มีความอัจฉริยะ ผู้นำประเภทนี้เกิดขึ้นได้เพราะเป็นผู้มีความสามารถเป็นอัจฉริยะ โดยเฉพาะบุคคลในตอนเริ่มต้นของชีวิตในระยะแรก ๆ ก็เหมือนกับบุคคลทั่วไป แต่เนื่องจากเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาด มีสติปัญญา ได้รับการศึกษาพัฒนาปรับตัวเข้าสู่การเป็นผู้นำ เช่น พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายธานินทร์ เจียรวนนท์ และนายบิลเกตต์
     3. ผู้นำที่เกิดขึ้นตามสายงานบริหาร ผู้นำประเภทนี้เป็นผู้นำที่เกิดจากการได้รับการแต่งตั้งตามสายงานการบริหาร ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ประสบความสำเร็จก็จะได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น เช่น อธิบดี ผู้อำนวยการ อธิการบดี หัวหน้าฝ่าย
     4.  ผู้นำตามสถานการณ์ เป็นผู้นำที่เกิดขึ้นแบบมีทีมงานเป็นส่วนใหญ่ มีความใฝ่ใจสูง เน้นการบริหารงานให้ได้ทั้งคนและทั้งงาน สถานการณ์ที่เกิดขึ้นมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน รู้จักหน้าที่ของตน ผู้นำประเภทนี้แสดงออกให้เกินถึงความเป็นผู้นำที่ต้องออกคำสั่ง การบังคับบัญชา การตัดสินใจ ผู้นำแบบนี้มักเป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นครู เป็นผู้สอนแทน ผู้นำในการฝึกอบรม การประชุม 

ลักษณะและบทบาทของผู้นำ
     ผู้นำจะนำไปในทิศทางที่ถูกต้องเสมอ ดังนั้น คนที่เป็นผู้นำที่เข้มแข็ง ก็อาจจะไม่ใช่ผู้จัดการ หรือบริหารที่ดีได้ หรือผู้บริหาร-ผู้จัดการที่ดี ก็อาจไม่ใช่ผู้นำที่ดีก็ได้ ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ องค์การหนึ่งองค์การใดที่ต้องการประสบความสำเร็จ ก็ย่อมต้องการผู้บริหาร หรือผู้จัดการที่มีลักษณะเป็นผู้นำดังนี้
     1. ต้องมีความฉลาด (Intelligence)
     2. ต้องมีวุฒิภาวะทางสังคมและใจกว้าง (Social Maturity & Achievement Drive) 
     3. ต้องมีแรงจูงใจภายใน (Inner Motivation)
     4. ต้องมีเจตคติที่ดีเกี่ยวกับมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations Attitudes)
 ลักษณะของผู้นำในทศวรรษหน้า
     1. เป็นผู้บริหารที่ไม่มากเกินไปในทางใดทางหนึ่ง คือ ไม่ใช่ผู้นำที่มุ่งแต่งานอย่างเดียว 
         หรือมุ่งที่คนอย่างเดียว
     2. ผู้บริหารเน้นการสร้างให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนมีความเป็นเลิศในทุกด้าน
     3.  วิธีการแก้ปัญหาของผู้นำจะใช้ผู้ปฏิบัติงานแก้เอง
     4.  ผู้นำจะมอบอำนาจ  จนพอที่ผู้ปฏิบัติงานสามารถใช้อำนาจนั้นให้งานสำเร็จในตัว
     5.  ผู้นำเน้นคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติงานที่สามารถทำงานเป็นทีมได้อย่างดี 
บทบาทหน้าที่ของผู้นำ
     1. ชี้แนะ ให้คำปรึกษา กำกับดูแล (Coaching)
     2. เปลี่ยนทัศนคติลึก ๆ ในตัวคน
     3.  ดึงศักยภาพที่มีอยู่ โดยไม่ต้องเอาความรู้ข้างนอกมามากนัก
     4.  ทำให้สถานที่ทำงานเป็นที่รักของพนักงาน
     5.   Full fill Basic Need ให้คนในองค์การ เช่น ให้ตำแหน่ง
     6.  ดึงคนให้หลุดพ้นจากความเห็นแก่ตัว ทัศนคติต้องเปลี่ยน

ผู้นำยุคใหม่
     คุณสมบัติของผู้นำตามอักษรแต่ละตัวในคำว่า LEADERSHIP มีความหมายบ่งชี้ถึงลักษณะต่างๆ ของผู้นำที่ดี ดังนี้
     1. L คือ Listen เป็นผู้ฟังที่ดี..
     2. E คือ Explain สามารถอธิบายสิ่งต่างๆ ให้เข้าใจได้..
     3. A คือ Assist ช่วยเหลือเมื่อควรช่วย…
     4. D คือ Discuss รู้จักแลกเปลี่ยนความคิดเห็น..
     5. E คือ Evaluation ประเมินผลการปฏิบัติงาน..
     6. R คือ Response แจ้งข้อมูลตอบกลับ…
     7. S คือ Salute ทักทายปราศรัย...
     8. H คือ Health มีสุขภาพดีทั้งกายและใจ..
     9. I คือ Inspire รู้จักกระตุ้นและให้กำลังใจลูกน้อง..
     10. P คือ Patient มีความอดทนเป็นเลิศนั่นเอง..

ความรู้เกี่ยวกับผู้บริหาร
         ผู้บริหาร หรือ ผู้จัดการ  เป็นสมาชิกในองค์กร  แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่ทำงานในองค์กรจะเป็นผู้บริหารทุกคน  สมาชิกในองค์กรขนาดใหญ่แบ่งเป็น 2 ประเภท   คือ ผู้ปฏิบัติงานกับผู้บริหาร ในองค์การนั้นผู้บริหารต่าง ๆ อาจมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เช่น  ผู้บริหารระดับล่างมักจะใช้ชื่อว่า  Supervisor  ถ้าในโรงงานอุตสาหกรรมจะเรียกว่า  Foreman   (หัวหน้างาน)   ส่วนผู้บริหารระดับกลางก็จะมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน  เช่น  ผู้จัดการโรงงาน ผู้จัดการแผนก หัวหน้าหน่วย  คณบดี  ผู้บริหารระดับสูงขององค์กร  
รับผิดชอบในด้านนโยบาย กลยุทธ์  และตัดสินใจนั้น  ได้แก่ รองประธาน ประธาน  ผู้อำนวยการ
อธิการ ประธานบอร์ด CEO

ระดับผู้บริหารและอำนาจหน้าที่
        ผู้บริหารและการบริหารทุกระดับ ใช้ทักษะ (Skill)  อย่างเดียวกันแต่ใช้สัดส่วนที่ต่างกัน ยิ่งขึ้นไปสู่ระดับบริหารที่สูงขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งต้องการข้อมูล เพื่อการตัดสินใจ และการใช้ทรัพยาการที่หลีกเลี่ยงในอนาคตมากขึ้น ดังนั้น ควรทำความเข้าใจอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ   ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1.  ผู้บริหารหรือหัวหน้างานระดับต้น First – Line Manager
     ทำหน้าที่ตรวจสอบควบคุมงานเท่านั้นจัดการงานเท่าที่ได้รับคำสั่งให้ทำ จึงไม่ถึงขีดขั้นที่จะเข้าระดับ “ผู้จัดการ” โดยปกติจะมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เช่น หัวหน้างาน (Foreman) ผู้ตรวจงาน หรือผู้ควบคุมงาน (Supervisor) หรือหัวหน้าแผนก (Section Chief) ซึ่งมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ ดังนี้

2.  ผู้บริหารระดับกลาง  (Middle Managers) 
      ได้แก่ตำแหน่ง ผู้จัดการโรงงาน   ผู้จัดการฝ่ายผลิต หัวหน้าวิศวกร ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติกร ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ฯลฯดังนั้นอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้บริหารระดับกลาง Middle Management มีดังนี้
     1. วางแผนระยะกลาง  เพื่อสอดคล้องรองรับกับแผนระยะยาวขององค์การที่ได้วางไว้โดยผู้บริหารระดับสูง
     2. กำหนดนโยบายของแต่ละฝ่ายงาน
     3. วัดและประเมินผลงานของผู้ใต้บังคับบัญชา  และหัวหน้างานทั้งหลายในสายงานของตน
     4. แจกจ่ายมอบหมายงาน  ประสานงาน  และตรวจสอบควบคุมเพื่อให้งานเป็นไปตามแผนงานระยะสั้นของหัวหน้าระดับต้น  ดำเนินไปโดยราบรื่นสอดคล้องกับแผนระยะกลางและระยะยาว

3.  ผู้บริหารระดับสูง (Top Managers)  
       ได้แก่  ตำแหน่ง  ประธานกรรมการบริษัท  ประธานบริษัท  ผู้บริหารระดับสูงหรือรองประธาน  ผู้อำนวยการหรือผู้ช่วยผู้อำนวยการ  หรือ  รวมถึง ตำแหน่งผู้ว่าการ  เลขาธิการ  อธิบดี  ปลัดกระทรวง  เป็นต้นมีหน้าที่และความรับผิดชอบ การจัดการระดับสูง  (Top Management) หรือการบริหารระดับสูง (Top Executive) งานที่ทำได้แก่
     -  พิจารณาและทบทวนแผนกลยุทธ์  แผนระยะยาว
     -  ประเมินผลการปฏิบัติงานของแผนงานหลักต่าง ๆ
     -  ประเมินเจ้าหน้าที่ชั้นบริหาร  และเตรียมการคัดเลือกนักบริหารตำแหน่งสำคัญ
     -  ปรึกษาหารือกับผู้บริหารระดับรองลงไปในเรื่องราวและปัญหาสำคัญต่าง ๆ 

ระดับผู้บริหารและอำนาจหน้าที่
ระบบการบริหาร  (Management System)
ระบบการบริหารแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
     1. ระบบเปิด  (Open system) เป็นองค์การซึ่งดำเนินภายในและมีการปฏิสัมพัทธ์ (interacts) กับสภาวะแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก วิธีการบริหารงานอย่างอย่างมีระบบนั้นประกอบไปด้วย ปัจจัยจากสภาวะแวดล้อมภายนอกและจากการเรียกร้องขบวนการแปลงสภาพ ระบบการติดต่อสื่อสาร
     2. ระบบปิด  (Closed System) เป็นระบบที่ไม่ต้องการอิทธิพลใด ๆ จากภายนอกและไม่ได้เกี่ยวข้องกับสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ธุรกิจมักจะมองแต่ภายในองค์การของตนเองมากกว่าท่าจะสนใจกับสภาพแวดล้อม รอบ ๆ ตัวธุรกิจไม่ว่าจะเป็นลูกค้า รสนิยมผู้บริโภค สภาพการณ์ของตลาด ฯลฯ
ภาระหน้าที่และลักษณะงานของผู้บริหาร
     หน้าที่ของผู้บริหาร (Management Functions) เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดกระบวนการจัดการ             
     Henri Fayol นักอุตสาหกรรมชาวฝรั่งเศส ในต้นศตรรษที่ 19 ได้เสนอหน้าที่ของผู้บริหารดังนี้ (POCCC)
     1. Planning (การวางแผน)
     2. Organizing (การจัดองค์การ)
     3. Commanding (การสั่งการ)
     4. Coordinating (การประสานงาน)
     5. Controlling (การควบคุม)
ทักษะของผู้บริหาร
     Robert L. Katz ได้เสนอว่าทักษะของผู้บริหารที่สำคัญมี 3 อย่าง คือ
     1. ทักษะด้านเทคนิค   (Technical Skills)
     2. ทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์  (Human Skills)
     3. ทักษะด้านการประสมแนวความคิด  (Conceptual Skill)

กิจกรรมทางการบริหาร
     Fred Luthans ได้เสนอกิจกรรมทางการบริหารมี 4 อย่างด้วยกัน คือ
     1.  Traditional Management ได้แก่ การตัดสินใจ การวางแผน และการควบคุม
     2.  Communication ได้แก่ การแลกเปลี่ยนแปลงข่าวสาร และการทำเอกสารต่าง ๆ
     3.  Human Resource Management ได้แก่ การจูงใจ การจัดวางระเบียบกฎเกณฑ์ การบริหาร
          ความขัดแย้ง  การจัดคนเข้าทำงานและการฝึกอบรม                              
     4.  Networking ได้แก่ การเข้าสมาคม การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และการเข้าไปเกี่ยวข้อง
          กับบุคคลภายนอก

นำเสนอคำคม


นางสาววรัญญา ศรีดาวฤกษ์ 


นางสาวประภาภรณ์ สายเนตร


นางสาวอันทิรา จำปาเกตุ


การประเมินผล
ประเมินตนเอง : เข้าเรียนตรงเวลา แต่งกายถูกระเบียบ 
ประเมินเพื่อน : เพื่อนๆตั้งใจเรียนดี เมื่ออาจารย์ถามทุกคนก็ช่วนกันตอบ
ประเมินอาจารย์ : อาจารย์อธิบายเนื้อหาได้ละเอียดดี  มีการยกตัวอย่างประกอบการบรรยาย









บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 2
วันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ.2561


เนื้อหาที่เรียน  ความรู้ที่ได้รับ

ความหมายและความสำคัญของการบริหารสถานศึกษา
ความหมายของการบริหารการศึกษา ( Education Administration )
         การบริหารการศึกษา แยกออกเป็น 2 คำ คือ การบริหาร และ การศึกษา ความหมายของ “การบริหาร” มีผู้ให้ความหมายไว้หลากหลาย ทั้งคล้ายๆกันและแตกต่างกัน คือ
-การบริหาร คือ ศิลปะของการทำงานให้สำเร็จโดยใช้บุคคลอื่น
-การบริหาร คือ การทำงานของคณะบุคคล ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ที่ร่วมกันปฏิบัติการให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน
-การบริหาร คือ การที่บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปร่วมกันทำงาน เพื่อจุดประสงค์อย่างเดียวกัน

          สรุป การบริหารสถานศึกษา หมายถึง ผู้ที่ทำหน้าที่หัวหน้าหรือผู้นำดำเนินงานเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายขององค์กร โดยใช้กระบวนการบริหารกลุ่มบุคคล กระบวนการต่างๆ ในการดำเนินงานของกลุ่มบุคคลให้เปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำใหม่ เป็นผู้นำทางความคิด การแก้ปัญหา การตัดสินใจ การสร้างแรงจูงใจและจัดสรรการใช้ทรัพยากรต่างๆ ให้เป็นกลุ่มงานที่สัมพันธ์กันอย่างดี มีกลังคนที่มีความสามารถพร้อมสร้างบุคลากรให้ทำงานได้อย่างถูกต้องเพื่อให้บุคลากรร่วมมือกันพัฒนาคุณภาพของงานภายในสถานศึกษาและให้บริการทางการศึกษาแก่สมาชิกของสังคม

หลักการ แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารสถานศึกษา
หลักการบริหารงานบุคคล
              สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2545)  ให้แนวคิดในการบริหารและการจัดการที่ดี เพื่อมาปรับใช้ในบริบทขององค์กรทางการศึกษา ในประเด็กดังนี้
1.การกำหนดจุดหมาย ผลที่คาดหวัง หรือภาพความสำเร็จของการบริหารและการจัดการที่ดี (Goal / Expected / Output)
2.กระบวนการบริหารและการจัดการที่ดี (Process)
3.ทรัพยากรในการบริหารจัดการที่ดี (Input / Resource)
4.ระบบควบคุม (Feedback / Control System)
5.ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารและการจัดการที่

ขอบข่ายของการบริหาร

           กระทรวงศึกษาธิการ (2546) ได้กำหนดขอบข่ายภาระงานในการบริหารงานบุคคลไว้ประกอบด้วย 5 งาน ได้แก่
1.การวางแผนอัตรากำลังและการกำหนดตำแหน่ง
2.การสรรหาและการบรรจุแต่งตั้ง
3.การเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ
4.วินัยและการรักษาวินัย

5.การออกจากราชการ

         สรุปได้ว่าขอบข่ายของการปฏิบัติงานของสถานศึกษาในการบริหารงานบุคคลนั้นมีภาระงานที่สำคัญๆ ที่สถานศึกษาควรปฏิบัติ ประกอบด้วย
     1. การวางแผนอัตรากำลังและกำหนดตำแหน่ง โดยมีการวิเคราะห์ภารกิจและประเมินสภาพความต้องการกำลังคน กับภารกิจของสถานศึกษามีการจัดทำภาระงานสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และแจ้งภาระงาน มาตรฐานคุณภาพงาน มาตรฐานวิชาชีพ จรรยาบรรณวิชาชีพ เกณฑ์ประเมินผลงานแก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาก่อนมีการมอบหมายหน้าที่ให้ปฏิบัติงาน
     2. การสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง โดยมีการดำเนินการสอบแข่งขัน สอบคัดเลือกและคัดเลือกในกรณีจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษในตำแหน่งครูผู้ช่วยครูและบุคลากรทางการศึกษาอื่นในสถานศึกษา
การบริหารเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์  (Science and arts)
-เป็น ศาสตร์ เพราะ มีหลักการ กฎเกณฑ์ และทฤษฏีที่เชื่อถือได้ เกิดจากการศึกษาค้นคว้าเชิงวิทยาศาสตร์
-เป็น ศิลป์ เพราะต้องทำงานกับคน ต้องเลือกใช้วิธีการให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ต้องฝึกให้ชำนาญ จึงต้องประยุกต์ใช้อย่างมีศิลป์


ทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการสถานศึกษา

ความหมายของทฤษฏี
    -กลุ่มของข้อเสนอ หรือ ของมโนทัศน์ที่สัมพันธ์เชื่อมโยงซึ่งกันและกัน
    -เป็นข้อสรุปอย่างกว้างๆ ทั่วไปที่พรรณนาและอธิบายถึงพฤติกรรมละปรากฏการณ์อย่างเป็นระบบ

ความจำเป็นในการศึกษาทฤษฏี
     -ทฤษฏีเป็นพื้นฐานของการกำหนดสมมติฐานเพื่อทดสอบปรากฏการณ์ที่สังเกตได้ ในเมื่อทฤษฏีอยู่บนพื้นฐานของตรรกวิทยา มีเหตุผลแม่นยำ ถูกต้องแล้ว การปฏิบัติก็จะมีเหตุผลและถูกต้องเช่นเดียวกัน

     -ทฤษฏีเป็นจุดเริ่มต้นของการวิจัย โดยกำหนดทิศทางของการวิจัย

ทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการสถานศึกษา
1. การบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific management)
      Frederick. W. Taylor (เทเลอร์) บิดาแห่งการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ ได้เสนอ หลัก 4 ประการ
  1. ใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ มีการแยกวิเคราะห์งาน
  2. มีการวางแผนการทำงาน
  3. คัดเลือกคนทำงาน
  4. ใช้หลักการแบ่งงานกันทำระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายปฏิบัติ  
2.ทฤษฎีการจัดการเชิงบริหาร (Administration management)
   Henry Fayol : หลักการบริหาร 14 หลักการ และขั้นตอนการบริการ POCCC
   Chester Barnard : ทฤษฏีการยอมรับอำนาจหน้าที่
   Luther Gulick : ใช้หลักการของ Fayol    โดยใช้คำย่อว่า POSDCoRB ซึ่งเป็นหน้าที่ 7 ประการ
3.ทฤษฎีการบริหารแบบราชการ (Bureaucratic management)
         Max Weber พัฒนาหลักการจัดการแบบราชการ
  1. มีกฎระเบียบข้อบังคับเพื่อควบคุมการตัดสินใจ
  2. ความไม่เป็นส่วนตัว
  3. แบ่งงานกันทำตามความถนัด ความชำนาญเฉพาะทาง
  4. มีโครงสร้างการบังคับบัญชา
  5. ความเป็นอาชีพที่มั่นคง
  6. มีอำนาจหน้าที่ในการตัดสินใจ โดยมีกฎระเบียบรองรับ
  7. ความเป็นเหตุเป็นผล

ทัศนะเชิงพฤติกรรม (Behavioral viewpoint)

1. ทฤษฎีพฤติกรรมระยะเริ่มแรก (Early behavioral theories)
Hugo Munsterberg บิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรม  ใช้หลักจิตวิทยาในการจำแนกคนงานให้เหมาะสมกับงาน
 Mary Parker Follett นักปรัชญาแห่งเสรีภาพของบุคคล เน้นสภาพแวดล้อมในการทำงานและการมีส่วนร่วม
2. การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น (Hawthorne studies)

         การทดลองของบริษัท เวสเทิร์น อิเล็กทริก ที่เมืองฮอว์ธร์น เพื่อศึกษาเกี่ยวกับผลของแสงไฟต่อประสิทธิภาพในการทำงาน
 ในช่วงท้ายของการทดลอง Elton Mayo ร่วมทำการทดลอง สรุปข้อค้นพบว่า
 - เงินไม่ใช้สิ่งจูงใจสำคัญเพียงอย่างเดียว
 - กลุ่มไม่เป็นทางการมีอิทธิพลต่อองค์การ

3. การเคลื่อนไหวเชิงมนุษยสัมพันธ์ (Human relation movement)
        Abraham Maslow :  มาสโลว์
ทฤษฏีลำดับขั้นความต้องการ
        Douglas McGregor : แมคเกรเกอร์
ทฤษฎี X และทฤษฏี Y
-เป็นสมมติฐานเกี่ยวกับทัศนะเกี่ยวกับผู้บริหารที่มีต่อคนงาน
-ทัศนะของผู้บริหารจะส่งผลต่อพฤติกรรมการบริหารงานของเขาด้วย
-เขาเห็นว่า องค์การแบบเดิม (รวมศูนย์ สื่อสารบนลงล่าง) ไม่ช่วยให้เกิดผลผลิต แต่สะท้อนธรรมชาติของมนุษย์ เรียกว่าทฤษฏี X
-ทฤษฏี X มองว่าคนไม่ชอบทำงาน เลี่ยงความรับผิดชอบ
-ไม่ทะเยอทะยาน ชอบให้สั่งการ ต้องใช้เงินจูงใจ ต้องควบคุมมาก
-ทฤษฏี Y มองว่า คนจะให้ความร่วมมือถ้าพอใจในสภาวะการทำงาน
-คนขยันไว้ใจได้ ควบคุมตนเองได้ มีความคิดริเริ่มในการทำงาน ถ้าได้รับการจูงใจที่ถูกต้องจากเพื่อนร่วมงาน
-คนจะพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
4. หลักพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral science approach)
         เป็นการนำผลการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ เพื่อพัฒนาทฤษฏีเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ จากศาสตร์ สาขาต่างๆ เมื่อนำไปทดสอบแล้วจะเสนอให้นักบริหารนำไปใช้ เช่น ทฤษฏีการตั้งเป้าหมาย ของ Locke




การประเมิน
     ประเมินตนเอง    วันนี้ไม่ได้เข้าเรียนเนื่องจากติดธุระ
     ประเมินเพื่อน      เพื่อนเข้าเรียนตรงเวลา 
     ประเมินอาจารย์   อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา แต่งการเรียบร้อย











บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 1
วันพุธที่ 17 มกราคม พ.ศ.2561



เนื้อหาที่เรียน  ความรู้ที่ได้รับ

              กิจกรรมวันนี้เป็นการเรียนการสอนวันแรกของวิชา การบริหารจัดการสถานศึกษาระดับปฐมวัย อาจารย์ได้ปฐมนิเทศบอกแนวทางของการเรียนการสอนในรายวิชานี้ และปฐมนิเทศ นอกจากนี้ยังได้ทราบรายละเอียดของเนื้อหาคร่าวๆจากการทำแบบฝึกหัด   ชี้แจงข้อตกลงในการเรียนมีดังนี้คือ แต่งกายสุภาพถูกต้องตามระเบียบ รักษามารยาทและวินัยอย่างเคร่งครัด หากเข้าเรียนช้า15นาทีถือว่าสาย ถ้าสายเกิน3ครั้งถือว่าขาด1ครั้ง ต้องมีเวลาไม่ตำกว่า80 เปอร์เซ็นของเวลาเรียนทั้งหมดเป็นต้น
            และเนื่องจากวันนี้ทางคณะศึกษาศาสตร์ได้จัดกิจกรรม "การเตรียมความพร้อมการสอบคัดเลือกนักศึกษา โครงการผลิตครูพัฒนาท้องถิ่น ปี พ.ศ. 2561" ดิฉันจึงเข้าร่วมกิจกรรม